ประเภทของบรรจุภัณฑ์ มีกี่แบบ เลือกให้เหมาะกับสินค้าได้ง่ายใน 5 นาที

รู้จักบรรจุภัณฑ์แต่ละแบบ ทั้งกระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ พร้อมวิธีเลือกให้ตรงกับสินค้า และสรุปแบบเข้าใจง่ายใน 5 นาที

คุณเคยสงสัยไหมว่า…ทำไมสินค้าบางอย่างดูน่าซื้อตั้งแต่ยังไม่เปิดกล่อง หรือบางอย่าง…ห่อมาแบบทำให้รู้สึก “ไม่มั่นใจ” ตั้งแต่แรกเห็น? คำตอบหนึ่งอยู่ที่ “บรรจุภัณฑ์” ครับ ไม่ใช่แค่ห่อสินค้าให้เรียบร้อย แต่มันคือ การเล่าเรื่องของแบรนด์ และยังมีผลต่อ ต้นทุน , การขนส่ง , การเก็บรักษา รวมถึง ความรู้สึกของลูกค้าด้วย บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจประเภทของบรรจุภัณฑ์แบบง่ายแต่ครบ เห็นตัวอย่างการใช้งานจริง และรู้ว่าแบบไหนเหมาะกับสินค้าของคุณ

บรรจุภัณฑ์ คืออะไร?

บรรจุภัณฑ์ (Packaging) คือ วัสดุที่ใช้ห่อหุ้ม ปกป้อง และนำเสนอสินค้าให้พร้อมใช้งานหรือจัดจำหน่าย  

แต่ความจริงแล้วมันทำได้มากกว่านั้น ลองมองบรรจุภัณฑ์ให้เหมือน “ชุดแต่งกาย” ของสินค้า

  • เสื้อผ้าที่เหมาะสม = ทำให้คนเชื่อมั่น
  • เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสม = ทำให้คนลังเล (แม้ของข้างในจะดีแค่ไหนก็ตาม)

ดังนั้นบรรจุภัณฑ์จึง ไม่ใช่แค่ห่อหุ้มของ แต่เป็นด่านแรกที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึง

  • คุณค่าของสินค้า
  • ความใส่ใจของแบรนด์
  • แม้กระทั่ง “ความปลอดภัย” ของสิ่งที่เขากำลังจะบริโภคหรือใช้งาน

ทำไมต้องเข้าใจบรรจุภัณฑ์ “ก่อนเลือกใช้”?

หลายคนเริ่มจากการถาม supplier ว่า “มีแบบไหนบ้าง?” แต่จริง ๆ แล้ว… สิ่งที่ควรถามตัวเองก่อนคือ

  • สินค้าเราต้องการ ปกป้องจากอะไร? แสง? ความชื้น? การรั่วซึม?
  • ลูกค้าจะ ใช้งานอย่างไร? เปิด-ปิดบ่อยไหม? ต้องพกพาไหม?
  • แบรนด์ของเราต้องการให้คน รู้สึกแบบไหน ตั้งแต่แรกเห็น?

การไม่เข้าใจตรงนี้ = อาจทำให้เลือกพลาด เช่น

  • ใช้กล่องกระดาษกับสินค้าที่โดนความชื้นง่าย
  • ใช้ถุงธรรมดากับสินค้าที่ต้องการสูญญากาศ
  • ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ดูราคาถูกกับสินค้าที่มีราคาสูง

ลองนึกถึงขนมแบรนด์ที่คุณชอบ → 70% คุณจำแพ็กเกจได้ก่อนรสชาติด้วยซ้ำ จริงไหม?

บรรจุภัณฑ์ที่ดี = ไม่ใช่แค่สวย แต่ ตรงกับจุดประสงค์

เราสามารถแบ่งจุดประสงค์ของบรรจุภัณฑ์ได้ 4 แบบหลักๆ

จุดประสงค์อธิบาย
1. ปกป้องสินค้ากันกระแทก , กันรั่ว , กันเสียหายจากแสง/อากาศ
2. ใช้งานสะดวกเปิดง่าย , พกพาได้ , รีไซเคิลง่าย
3. สื่อสารแบรนด์สี ฟอนต์ วัสดุ ให้ความรู้สึกของแบรนด์
4. กระตุ้นการตัดสินใจซื้อถ้าดูดีตั้งแต่แรกเห็น โอกาสขายเพิ่มขึ้น

“บรรจุภัณฑ์ไม่ใช่แค่ห่อ แต่คือสะพานเชื่อมจากสินค้า → ลูกค้า → ความรู้สึก → การซื้อซ้ำ”

โครงสร้างบรรจุภัณฑ์ (ตามการใช้งาน)

  1. Primary Packaging คือ ชั้นที่สัมผัสกับตัวสินค้าโดยตรง ตัวอย่างเช่น ซองกาแฟ , ขวดน้ำ , ถุงขนม
  2. Secondary Packaging คือ ชั้นรองที่รวบหลายชิ้นเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น กล่องรวมซองขนม 10 ชิ้น , กล่องน้ำผลไม้
  3. Shopping Packaging คือ ชั้นสุดท้ายเพื่อการขนส่ง / สต๊อก ตัวอย่างเช่น ลัง , พาเลท , ห่อฟิล์มแพ็คกล่อง
ชั้นหน้าที่ตัวอย่างใครต้องใส่ใจ
Primaryห่อสินค้าโดยตรงถุงขนม , ขวดน้ำทุกแบรนด์
Secondaryรวมหลายชิ้นกล่อง 6 แพ็ค , gift setธุรกิจเซ็ต , ขายส่ง
Tertiaryขนส่ง-สต๊อกลังใหญ่ , ฟิล์มพาเลทผู้ส่งออก , warehouse

ถ้าคุณเข้าใจโครงสร้าง 3 ชั้นนี้ คุณจะรู้ว่า “ควรลงทุนกับชั้นไหน” ให้เหมาะกับธุรกิจและไม่เสียเงินกับบรรจุภัณฑ์ที่เกินความจำเป็น

ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น ถุงซิปล็อค ถุงกระดาษ กล่องกระดาษ ขวดพลาสติก และกระปุกครีม

ประเภทของบรรจุภัณฑ์ ตามลักษณะการใช้งาน

บรรจุภัณฑ์ไม่ใช่แค่ทำจากอะไร แต่ต้อง “ใช้ยังไง” ด้วย และนี่คือมุมที่เจ้าของแบรนด์ส่วนใหญ่ เริ่มต้นมอง ก่อนเลือกวัสดุด้วยซ้ำ

ลองนึกตาม…

  • คุณอยากขายสบู่ก้อน → ภาพในหัวมาคือ “ซอง? กล่อง? หรือกระปุก?”
  • คุณจะขายน้ำผลไม้ → “ขวด? แก้ว? ถุงน้ำแบบมีหลอดเจาะ?”

นี่แหละครับคือมุม “ลักษณะการใช้งาน” ที่ตอบว่า เราควรห่อสินค้าแบบไหน ให้เหมาะกับพฤติกรรมของลูกค้า

1. ถุง (Pouch)

  • ข้อดี : ประหยัด , น้ำหนักเบา , เหมาะกับสินค้าที่บรรจุซ้ำๆ ได้ง่าย
  • ข้อเสีย : อาจดูไม่พรีเมียม , บางชนิดรีไซเคิลยาก
  • ตัวอย่างสินค้า : ขนม , สมุนไพร , ผงเครื่องดื่ม , ข้าวสาร

2. ซอง (Foil / Zip / Vacuum)

  • ข้อดี : เก็บได้นาน, ป้องกันอากาศ-ความชื้นดีมาก
  • ข้อเสีย : บางแบบเปิดปิดยาก ถ้าไม่มี Zip
  • ตัวอย่างสินค้า : อาหารแช่แข็ง , สินค้าแปรรูป , กาแฟบด

3. กล่อง (Box)

  • ข้อดี : วางซ้อนง่าย, จัดเรียงสวย, พิมพ์ลวดลายได้ดี
  • ข้อเสีย : เปลืองพื้นที่ขนส่งกว่าซอง
  • ตัวอย่างสินค้า : ขนมเบเกอรี่ , สกินแคร์ , เสื้อผ้า

4. ขวด / กระปุก (Bottle / Jar)

  • ข้อดี : ใช้งานสะดวก, คงรูป, เหมาะกับของเหลว/ของข้น
  • ข้อเสีย : หนักกว่า, ใช้พื้นที่มาก
  • ตัวอย่างสินค้า : แชมพู, น้ำมันหอม, น้ำผลไม้คั้นสด

จุดแตกต่างจาก วัสดุที่ใช้

  • กล่อง = อาจทำจากกระดาษ หรือพลาสติกแข็ง
  • ซอง = อาจเป็นฟอยล์ หรือพลาสติก
  • ขวด = มีทั้งแบบพลาสติก , แก้ว หรือโลหะ

“รูปแบบ” กับ “วัสดุ” จึงไม่ใช่เรื่องเดียวกัน การเลือกให้เหมาะ คือ การเอา 2 มุมนี้มาคิดร่วมกัน

ประเภทของบรรจุภัณฑ์ ตามวัสดุที่ใช้

บรรจุภัณฑ์แต่ละแบบ ไม่ได้ต่างกันแค่ “หน้าตา” แต่มันมีผลต่อทุกอย่างตั้งแต่ “ต้นทุน” ไปจนถึง “ภาพลักษณ์ของแบรนด์” และ “การตัดสินใจซื้อของลูกค้า” วัสดุที่ใช้ในการทำบรรจุภัณฑ์หลัก ๆ มี 4 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

1. บรรจุภัณฑ์กระดาษ (Paper Packaging)

เหมาะกับแบรนด์ที่เน้นภาพลักษณ์เป็นมิตร เป็นธรรมชาติ และใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ข้อดี

  • ย่อยสลายได้ → เป็นมิตรกับโลก
  • น้ำหนักเบา → ลดค่าส่ง
  • พิมพ์ลาย/โลโก้สวยงาม → เหมาะกับแบรนด์ดีไซน์จัด

ข้อควรระวัง

  • ไม่ทนความชื้น → อาจต้องเคลือบพลาสติก (ซึ่งอาจทำให้รีไซเคิลยาก)
  • อาจไม่เหมาะกับสินค้าที่ต้องการซีลแน่น

เหมาะกับสินค้า

  • กล่องขนมเบเกอรี่
  • ถุงชานม
  • ถุงกระดาษ

2. บรรจุภัณฑ์พลาสติก (Plastic Packaging)

ตัวเลือกยอดนิยม เพราะ “ยืดหยุ่น-ต้นทุนต่ำ-กันความชื้นได้ดี” แต่ต้องเลือกให้ถูกประเภท เพราะบางชนิดไม่ปลอดภัยต่ออาหาร

ข้อดี

  • ราคาถูกที่สุดในหมวดบรรจุภัณฑ์
  • ทนต่อของเหลว / ความชื้น / อากาศได้ดี
  • น้ำหนักเบา → ขนส่งสะดวก

ข้อควรระวัง

  • ปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์ของแบรนด์
  • ต้องเลือก Food Grade / BPA Free ถ้าใช้กับของกิน

เหมาะกับสินค้า

  • ซองอาหารแช่แข็ง
  • ถุง ziplock
  • ขวดน้ำ PET
  • ซองสูญญากาศ

Extra Tip :

อยากลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม? → ใช้ พลาสติกชีวภาพ (Bio-Plastic) หรือ แบบรีไซเคิลได้

3. บรรจุภัณฑ์แก้ว (Glass Packaging)

ให้ภาพลักษณ์พรีเมียม สะอาด และปลอดภัยสูง เหมาะกับสินค้าที่ต้องการ “ความหรู ความมั่นใจ และการเก็บคุณภาพยาวนาน”

ข้อดี

  • ไม่ทำปฏิกิริยากับอาหาร / สารเคมี
  • รักษารสชาติ / คุณสมบัติของสินค้า
  • ดูหรู ดูแพง → เพิ่มมูลค่าของแบรนด์

ข้อควรระวัง

  • หนัก / แตกง่าย → ค่าส่งแพง
  • ไม่เหมาะกับการขนส่งระยะไกลที่ต้องการความเร็ว

เหมาะกับสินค้า

  • สกินแคร์ / น้ำหอม
  • อาหารดอง / ซอส
  • แยม / น้ำผึ้ง

4. บรรจุภัณฑ์โลหะ (Metal Packaging)

เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความปลอดภัยสูง ทนทานต่อแสง ความร้อน และอากาศ นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร/เครื่องดื่ม และเคมี

ข้อดี

  • แข็งแรง ทนทาน
  • ป้องกันอากาศ แสง และแบคทีเรียได้ดีมาก
  • เก็บรักษาได้นาน โดยไม่ต้องใส่วัตถุกันเสียเยอะ

ข้อควรระวัง

  • ต้นทุนผลิตสูง
  • น้ำหนักมากกว่าพลาสติกหรือกระดาษ
  • รีไซเคิลได้แต่มีค่าใช้จ่าย

เหมาะกับสินค้า

  • อาหารกระป๋อง
  • เครื่องดื่มกระป๋อง
  • บรรจุภัณฑ์กาแฟ
  • สเปรย์หรือผลิตภัณฑ์เคมี
วัสดุจุดเด่นจุดอ่อนเหมาะกับสินค้า
กระดาษรักษ์โลก, เบา, พิมพ์สวยไม่กันน้ำกล่อง, ซอง, ถุง
พลาสติกถูก, กันชื้น, เบาสิ่งแวดล้อมอาหาร, ขวด, ถุง
แก้วหรู, ปลอดภัย, เก็บรสหนัก, แตกน้ำผลไม้, สกินแคร์
โลหะแข็งแรง, เก็บได้นานราคา, น้ำหนักกระป๋อง, สเปรย์

บรรจุภัณฑ์ที่ดี = วัสดุที่ “พอดี” กับสิ่งที่คุณขาย ไม่ต้องแพงที่สุด แค่ “เหมาะที่สุด”

บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ทางเลือกใหม่ของธุรกิจ

ทำไม “รักษ์โลก” ถึงกลายเป็นจุดขาย?

พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะครับ จากเดิมที่มองว่า “บรรจุภัณฑ์แค่ห่อของ” → ตอนนี้หลายคนเริ่มถามว่า 

  • วัสดุนี้ย่อยสลายได้ไหม?
  • รีไซเคิลได้หรือเปล่า?
  • ใช้ซ้ำได้ไหม?

และคำถามเหล่านี้ กลายเป็นเหตุผลที่ลูกค้า “เลือกหรือไม่เลือก” แบรนด์หนึ่งเลยทีเดียว

รักษ์โลก ไม่ใช่แค่เท่ แต่ “ตอบโจทย์ธุรกิจ” ด้วย

  • ลดต้นทุนระยะยาว (บางวัสดุ Bio-Based เริ่มราคาถูกลงแล้ว)
  • เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูใส่ใจ มีจุดยืน
  • ทำให้สินค้าดูน่าเชื่อถือและสร้างความรู้สึกดีในใจผู้บริโภค
  • มีโอกาสเข้าร่วมตลาดต่างประเทศหรือแพลตฟอร์มที่เน้น ESG (เช่น Amazon / Shopee Green)

สรุป

เลือกบรรจุภัณฑ์ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์หรือความชอบ แต่มันคือ “จุดตัดสินใจทางธุรกิจ” ที่เกี่ยวข้องกับ ต้นทุนการผลิต ประสบการณ์ของลูกค้า ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ความทนทานในการขนส่ง และแน่นอน โอกาสในการขายซ้ำ

ลองถามตัวเองให้ครบ 5 ข้อนี้ก่อนตัดสินใจ

  1. สินค้าของคุณคืออะไร? (ของแห้ง / ของเหลว / อาหาร / เครื่องสำอาง ฯลฯ)
  2. ลูกค้าใช้สินค้ายังไง?
  3. ต้องการสื่อภาพลักษณ์แบบไหน?
  4. ต้องขนส่งหรือวางขายแบบไหน?
  5. งบประมาณเท่าไหร่?

Checklist บรรจุภัณฑ์ที่ดี = ต้อง “พอดี” กับ

ปัจจัยคำแนะนำ
ประเภทสินค้าของเหลว = ขวด, ของแห้ง = ซอง/กล่อง
พฤติกรรมลูกค้าพกพา/ใช้งานซ้ำ = ต้องทน/เปิดง่าย
ช่องทางขายขายออนไลน์ = กันกระแทกดี ขายหน้าร้าน = รูปลักษณ์เด่น
ภาพลักษณ์แบรนด์Eco = กระดาษ / พรีเมียม = แก้ว / ขวดโลหะ
งบประมาณประเมินต้นทุน + มูลค่าเพิ่มที่ให้กับลูกค้า

คำแนะนำถ้ายังไม่แน่ใจ

ลองใช้แนวทางนี้ “เริ่มจากกลุ่มลูกค้า” → ย้อนกลับมาที่สินค้า → แล้วค่อยเลือกวัสดุ + รูปแบบ” และที่สำคัญ อย่ากลัวที่จะ “ทดลอง” บรรจุภัณฑ์ที่ดีที่สุด = ตัวที่ใช้จริงแล้ว “ลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์เรา”

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประเภทของบรรจุภัณฑ์

ประเภทของบรรจุภัณฑ์ มีอะไรบ้าง?

ประเภทของบรรจุภัณฑ์สามารถแบ่งได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามวัสดุ (กระดาษ, พลาสติก, แก้ว, โลหะ) , แบ่งตามโครงสร้าง (Primary, Secondary, Tertiary) และแบ่งตามลักษณะการใช้งาน (ถุง, กล่อง, ขวด, ซอง ฯลฯ)

ประเภทของบรรจุภัณฑ์ 3 ประเภท มีอะไรบ้าง?

ประเภทของบรรจุภัณฑ์ 3 ประเภทหลักคือ 1) Primary Packaging – ห่อหุ้มตัวสินค้าหลัก, 2) Secondary Packaging – รวมหลายหน่วยเข้าด้วยกัน, และ 3) Shopping Packaging – สำหรับการขนส่งและจัดเก็บ

ประเภทของบรรจุภัณฑ์แบ่งตามวิธีการมีอะไรบ้าง?

การแบ่งประเภทของบรรจุภัณฑ์ตามวิธีการใช้งาน ได้แก่ ถุง (Pouch), กล่อง (Box), ซองฟอยล์, ขวด, กระปุก และบรรจุภัณฑ์แบบสูญญากาศ ซึ่งแต่ละแบบเหมาะกับสินค้าประเภทต่างๆ

ประเภทของบรรจุภัณฑ์แบ่งตามวัตถุประสงค์มีอะไรบ้าง?

การแบ่งบรรจุภัณฑ์ตามวัตถุประสงค์ใช้งานสามารถแบ่งได้เป็น 1) การปกป้องสินค้า, 2) ความสะดวกในการใช้งาน, 3) การสื่อสารแบรนด์, และ 4) การกระตุ้นการซื้อ ซึ่งบรรจุภัณฑ์บางประเภทอาจทำหน้าที่หลายอย่างพร้อมกัน

ประเภทของบรรจุภัณฑ์ใดที่แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้?

ประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์เพื่อปกป้องสินค้า (เช่น ซองสูญญากาศ), เพื่อความสะดวก (เช่น ขวดแบบบีบ), เพื่อสื่อสารแบรนด์ (เช่น กล่องพิมพ์โลโก้) และเพื่อการตลาด (เช่น กล่องของขวัญหรือเซ็ตพิเศษ)