5 เทรนด์การออกแบบบรรจุภัณฑ์ยุคใหม่ที่แบรนด์ต้องรู้

เคยไหมที่ดีไซน์บรรจุภัณฑ์ของคุณดูดีแต่กลับไม่ดึงดูด? แท้จริงแล้ว ความลับอยู่ที่การตามเทรนด์ ที่ผู้บริโภคสนใจ! มาอัปเดต เทรนด์การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นไม่ซ้ำใคร!

ทำไมการออกแบบบรรจุภัณฑ์ต้องตามเทรนด์?

การออกแบบ Packaging ไม่เพียงแต่ตอบสนองความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง Brand Identity ที่แข็งแกร่ง ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ยุคสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความจดจำให้กับแบรนด์

5 เทรนด์การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่แบรนด์ต้องรู้

1. Minimal is the New Black – ความเรียบง่ายคือความโดดเด่น

การออกแบบแพคเกจจิ้งที่เรียบง่ายและสะอาดตากลายเป็นแนวทางที่หลายแบรนด์เลือกใช้ ความมินิมอลไม่ใช่เพียงแค่การลดทอนรายละเอียด แต่คือการนำเสนอสิ่งที่จำเป็นและมีความหมายอย่างชัดเจน การลดความซับซ้อนและการจัดวางองค์ประกอบอย่างมีระเบียบทำให้ผลิตภัณฑ์ดูโดดเด่นขึ้นท่ามกลางความหลากหลายในตลาด

หลายแบรนด์ชั้นนำอย่าง Muji , Apple และ Calvin Klein นำแนวทางนี้มาปรับใช้ได้อย่างประสบความสำเร็จ 

  • Muji เลือกใช้โทนสีธรรมชาติ เน้นความเรียบง่าย
  • Apple มีโลโก้เด่นกลางกล่องและพื้นหลังสีขาวสะอาดตา 
  • Calvin Klein ใช้ฟอนต์บางเฉียบที่สื่อถึงความหรูหรา

การเลือกใช้สีโทนขาว ดำ เทา หรือพาสเทลอ่อนๆ ช่วยสร้างความรู้สึกเรียบง่ายแต่พรีเมียม

การนำแนวคิดมินิมอลมาใช้ในดีไซน์ Packaging เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการภาพลักษณ์สะอาดตา เช่น เครื่องสำอาง สินค้าไลฟ์สไตล์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การออกแบบที่มีพื้นที่ว่างเพียงพอช่วยให้บรรจุภัณฑ์ดูโปร่ง ไม่น่าอึดอัด และสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น

การเรียนรู้ หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวคิดพื้นฐานและนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Eco-Friendly Packaging – บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก

บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับโลกถือเป็นทางเลือกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ การออกแบบแพคเกจจิ้งแบบ Eco-Friendly ไม่ได้หมายความว่าต้องเสียความสวยงาม แต่คือการเลือกใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ รีไซเคิลได้ หรือผลิตจากวัสดุธรรมชาติ เช่น กระดาษคราฟท์ ชานอ้อย หรือพลาสติกชีวภาพ (PLA)

ตัวอย่างที่ชัดเจน ได้แก่ 

  • Starbucks ที่ใช้แก้วและหลอดรีไซเคิลได้ 
  • Lush ที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์จากวัสดุที่ย่อยสลายตามธรรมชาติ

การใช้ดีไซน์ Packaging แบบรักษ์โลกไม่เพียงแต่สร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่ยังช่วยลดปริมาณขยะ สร้างความน่าเชื่อถือและความรับผิดชอบต่อสังคม

กลยุทธ์นี้เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและสินค้าไลฟ์สไตล์

3. Bold and Bright – สีสันจัดจ้านสะดุดตา

การใช้สีสันสดใสในการออกแบบ Packaging ช่วยให้สินค้าดูสะดุดตาและแตกต่างบนชั้นวาง การใช้โทนสีจัดจ้านอย่าง เหลือง แดง ส้ม หรือเขียวสะท้อนถึงพลัง ความสดใส และความมีชีวิตชีวา ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ 

  • Fanta ที่ใช้สีส้มสะท้อนความสนุกสนาน
  • Sprite ที่เน้นสีเขียวมะนาวให้ความสดชื่น

การจัดวางฟอนต์หนาและตัวอักษรที่ชัดเจนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้บรรจุภัณฑ์ดูทันสมัย เหมาะกับสินค้าไลฟ์สไตล์ เครื่องดื่ม หรือของขบเคี้ยว การเลือกใช้สีตัดกันและมีความคอนทราสต์สูงจะเพิ่มความโดดเด่นให้แบรนด์และสร้างจุดสนใจให้กับผู้บริโภค

การทำความเข้าใจ เทคนิคลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ จะช่วยให้คุณได้แนวทางใหม่ๆ ที่คุ้มค่าและใช้งานได้จริง

4. Retro Vibe – สไตล์วินเทจ ย้อนยุค 90

การนำดีไซน์ย้อนยุคมาใช้ในการออกแบบแพคเกจจิ้งกำลังเป็นที่นิยม สไตล์วินเทจหรือ Retro Vibe คือการนำองค์ประกอบการออกแบบจากยุค 90 กลับมาใช้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฟอนต์หนาแบบ Bold Serif ลายกราฟิกที่สดใสแบบ Pop Art หรือการผสมผสานสีสันจัดจ้านที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา การดีไซน์ในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้บริโภคที่มีความผูกพันกับช่วงเวลานั้น แต่ยังสร้างความรู้สึกแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ที่เห็นได้ชัดบนชั้นวาง

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ

  • บรรจุภัณฑ์รุ่นพิเศษของ Pepsi ที่นำดีไซน์โลโก้และโทนสีจากยุค 90 มาใช้ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความคลาสสิกและความเป็นตำนาน
  • Adidas ก็ใช้กราฟิกสไตล์วินเทจในการออกแบบกล่องรองเท้าเพื่อสื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์และรากฐานของแบรนด์

การใช้ Retro Vibe ใน Packaging เหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการเชื่อมโยงกับผู้บริโภควัยเก๋าและสร้างความแตกต่างในตลาดปัจจุบัน

5. AR Packaging – บรรจุภัณฑ์ยุคดิจิทัล

การนำเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) มาใช้กับบรรจุภัณฑ์ถือเป็นการพลิกโฉมประสบการณ์ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง บรรจุภัณฑ์กลายเป็นช่องทางการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า การใช้ AR บนบรรจุภัณฑ์สามารถเพิ่มมูลค่าให้สินค้าโดยการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น วิดีโอแนะนำสินค้า การเล่นเกม หรือแม้แต่ข้อมูลด้านสุขภาพและวิธีการใช้งาน

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ 

  • Heinz Ketchup ที่เพิ่ม QR Code บนขวดเพื่อให้ผู้บริโภคสแกนและรับสูตรอาหารที่สามารถทำคู่กับซอสมะเขือเทศได้ 
  • LEGO ที่ใช้ AR เพื่อแสดงภาพโมเดล 3 มิติของตัวต่อในรูปแบบเสมือนจริง ทำให้เด็กๆ สามารถเห็นภาพล่วงหน้าก่อนเริ่มประกอบ

การเพิ่มเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์ Packaging ไม่เพียงแต่สร้างความน่าสนใจ แต่ยังช่วยสร้างความแตกต่างในเชิงการตลาด ทำให้แบรนด์สามารถเชื่อมต่อกับผู้บริโภคในรูปแบบใหม่ๆ

ในเชิงการตลาด การสร้างบรรจุภัณฑ์ที่สะดุดตาสามารถช่วยสร้างจุดเด่นและเพิ่มโอกาสในการเลือกซื้อของลูกค้าได้มากขึ้น การนำเทรนด์นี้มาปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของ กลยุทธ์ทางการตลาดสมัยใหม่ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

สรุป

การนำเทรนด์เหล่านี้มาใช้ไม่เพียงแต่ทำให้บรรจุภัณฑ์ดูทันสมัย แต่ยังเป็นการสร้าง Brand Identity ที่ชัดเจนและแข็งแกร่ง การผสมผสานระหว่างดีไซน์สวยงามและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความจดจำในระยะยาว อย่าลืมว่าการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดีต้องสะท้อนตัวตนของแบรนด์และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

เมื่อบรรจุภัณฑ์สามารถสะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน ก็จะสามารถสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น รวมถึงเพิ่มโอกาสในการจดจำและกลับมาซื้อซ้ำ การผสมผสานแนวคิดในการออกแบบเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่การตามกระแส แต่คือการปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

อย่าลืมว่า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ที่ดีไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านความสวยงาม แต่ยังต้องคำนึงถึงฟังก์ชันการใช้งานและความยั่งยืนไปพร้อมกัน เพื่อให้สินค้าของคุณสามารถครองใจผู้บริโภคได้ในระยะยาว