กระบวนการพิมพ์และเทคโนโลยีการพิมพ์สมัยใหม่
เรียนรู้กระบวนการพิมพ์และเทคโนโลยีการพิมพ์สมัยใหม่ที่ใช้ในโรงพิมพ์ยุคดิจิทัล ตั้งแต่การเตรียมงานจนถึงงานหลังพิมพ์ พร้อมแนวโน้มในอนาคตของอุตสาหกรรมการพิมพ์
รวมคำศัพท์เกี่ยวกับโรงพิมพ์ที่ควรรู้ เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง ช่วยสื่อสารกับโรงพิมพ์อย่างมืออาชีพ ลดข้อผิดพลาดในการพิมพ์ การเข้าใจคำศัพท์เฉพาะทางไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่คือกุญแจสำคัญในการสื่อสารอย่างมืออาชีพ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังสั่งผลิตบรรจุภัณฑ์สินค้า แต่ดันสับสนกับคำว่า เพลท และ ไดคัท ผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่หวัง!
บทความนี้จะช่วยให้คุณคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับคำศัพท์ในโรงพิมพ์ ทั้งคำศัพท์พื้นฐานและคำศัพท์เฉพาะทาง เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง มาค้นหาคำตอบไปด้วยกัน!
การทำงานกับโรงพิมพ์จำเป็นต้องเข้าใจคำศัพท์พื้นฐาน เพื่อให้สามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้องและลดความผิดพลาดในการสั่งพิมพ์ คำศัพท์เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักออกแบบและผู้ที่ต้องประสานงานด้านการพิมพ์
เพลท คือ แผ่นแม่พิมพ์ที่ใช้ในงานพิมพ์ออฟเซ็ท ทำจากแผ่นอลูมิเนียมเคลือบสารไวต่อแสง เมื่อฉายแสง ภาพจะถูกถ่ายโอนไปยังเพลท แล้วนำไปพิมพ์บนกระดาษหรือวัสดุอื่น เพลทเหมาะกับงานพิมพ์จำนวนมาก เช่น นิตยสารหรือบรรจุภัณฑ์ เพราะช่วยให้ได้ภาพคมชัดและลดต้นทุนเมื่อพิมพ์ในปริมาณมาก
ไดคัท คือ การตัดกระดาษหรือวัสดุพิมพ์ให้เป็นรูปทรงตามที่ต้องการ โดยใช้แม่พิมพ์ที่มีใบมีดคม เช่น การตัดกล่องบรรจุภัณฑ์ หรือฉลากสินค้าที่มีขอบโค้ง เทคนิคนี้ช่วยให้งานพิมพ์ดูมีเอกลักษณ์และน่าสนใจ เหมาะกับงานที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ
การเคลือบ คือ การเพิ่มชั้นป้องกันบนผิวงานพิมพ์ เพื่อให้ทนทานและดูดีขึ้น เทคนิคที่นิยมได้แก่ เคลือบยูวี (ให้ความเงา) , เคลือบพีวีซีด้าน (ให้สัมผัสเรียบหรู) , เคลือบวานิช (เพิ่มชั้นเงาบนพื้นผิวงานพิมพ์) และสปอตยูวี (เคลือบเฉพาะจุดเพื่อเน้นโลโก้) การเคลือบเหล่านี้ช่วยเพิ่มความพรีเมียมและปกป้องงานพิมพ์จากรอยขีดข่วน
การเจียน คือ การตัดขอบกระดาษส่วนเกินหลังการพิมพ์ เพื่อให้ได้ขนาดพอดีและเรียบเสมอกัน เช่น การตัดขอบนามบัตรหรือใบปลิว
แกรม คือ หน่วยวัดความหนาของกระดาษ ยิ่งตัวเลขสูง กระดาษยิ่งหนา เช่น กระดาษ 70 แกรมมักใช้กับเอกสารทั่วไป ส่วนกระดาษ 300 แกรมใช้กับนามบัตรหรือกล่องบรรจุภัณฑ์
งานเลย์เดี่ยว คือ การพิมพ์งานแบบแยกเฉพาะหนึ่งงานในแผ่นพิมพ์เดียวกัน ต้นทุนสูงกว่าเลย์ร่วม แต่ควบคุมคุณภาพได้ดีกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการรายละเอียดเฉพาะ
งานเลย์ร่วม คือ การพิมพ์งานหลายชิ้นบนแผ่นพิมพ์เดียวกัน เพื่อลดต้นทุน เหมาะกับงานพิมพ์ที่มีจำนวนไม่มาก เช่น กล่องบรรจุภัณฑ์จากหลายดีไซน์พิมพ์พร้อมกัน
Mock up คือ ตัวอย่างจำลองของงานพิมพ์หรือผลิตภัณฑ์ก่อนการผลิตจริง เพื่อให้เห็นภาพรวมและตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ เช่น สี ขนาด และการจัดวางองค์ประกอบ ช่วยให้เห็นภาพรวมของงานได้ชัดเจน และสามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ก่อนการผลิตจริง
นอกจากคำศัพท์พื้นฐานแล้ว ยังมีคำศัพท์เฉพาะทางที่มักใช้ในงานพิมพ์ระดับมืออาชีพ โดยเฉพาะงานที่ต้องการความพิเศษหรือรายละเอียดที่ซับซ้อน คำศัพท์เหล่านี้ช่วยเพิ่มมิติให้กับชิ้นงานและทำให้ผลิตภัณฑ์ดูโดดเด่นมากขึ้น
ปั๊มนูน คือ เทคนิคที่ทำให้บางส่วนของงานพิมพ์ยกตัวขึ้นจากพื้นผิว เช่น การทำโลโก้หรือตัวอักษรให้ดูนูนขึ้น มักใช้กับนามบัตร ปกหนังสือ หรือบรรจุภัณฑ์ การปั๊มนูนช่วยเพิ่มความรู้สึกพรีเมียมและทำให้งานพิมพ์มีมิติ สัมผัสได้ถึงความพิเศษเมื่อใช้นิ้วสัมผัส
ปั๊มฟอยล์คือการเพิ่มสีสันให้กับงานพิมพ์ด้วยฟอยล์โลหะ เช่น สีทอง เงิน หรือฟอยล์ประกายรุ้ง เทคนิคนี้ใช้ความร้อนและแรงกดเพื่อทำให้ฟอยล์ติดบนพื้นผิว มักใช้ในการตกแต่งโลโก้ ข้อความ หรือกรอบให้ดูโดดเด่น งานพิมพ์ที่มีฟอยล์จะดูหรูหราและสะดุดตา เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ระดับพรีเมียมหรืองานอีเวนต์สำคัญ
การปั๊มจม คือ การทำให้ส่วนหนึ่งของงานพิมพ์ยุบลงไปจากพื้นผิว ตรงข้ามกับการปั๊มนูน นิยมใช้กับปกหนังสือ หรือกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการให้โลโก้หรือลวดลายมีความลึก เทคนิคนี้สร้างความรู้สึกที่เป็นทางการและมีระดับ
ปั๊มเค คือ การใช้แรงกดผ่านแม่พิมพ์เพื่อประทับลวดลายหรือตัวอักษรลงบนพื้นผิว วัสดุที่ได้จะมีร่องลึกลงไป เหมาะกับงานที่ต้องการให้ข้อความเด่นชัด เช่น บัตรเชิญหรือนามบัตร
Spot UV คือ การเคลือบเงาเฉพาะจุด เพื่อเน้นบริเวณสำคัญ เช่น โลโก้ ชื่อแบรนด์ หรือหัวข้อหลัก บนพื้นผิวที่ด้าน การเคลือบแบบนี้ทำให้งานพิมพ์ดูมีชีวิตชีวาและน่าสนใจมากขึ้น เหมาะกับงานที่ต้องการความโดดเด่นเป็นพิเศษ เช่น ปกนิตยสาร บัตรเชิญ หรือโบรชัวร์
งานพิมพ์แต่ละประเภทมีจุดเด่นและข้อดีต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและปริมาณที่ต้องการผลิต การเข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับประเภทงานพิมพ์จะช่วยให้เลือกวิธีการพิมพ์ได้เหมาะสมและคุ้มค่ากับงบประมาณ
การพิมพ์ออฟเซ็ทเป็นวิธีการพิมพ์ที่นิยมใช้ในงานปริมาณมาก เพราะให้คุณภาพสูง ภาพคมชัด และสีสดใส กระบวนการพิมพ์นี้ใช้เพลทเป็นตัวกลางในการถ่ายโอนภาพลงบนกระดาษ ผ่านการพิมพ์ทีละสีตามระบบ CMYK การพิมพ์ออฟเซ็ทเหมาะสำหรับนิตยสาร โบรชัวร์ แผ่นพับ และบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการรายละเอียดสูง ต้นทุนการพิมพ์ต่อชิ้นจะลดลงเมื่อพิมพ์ในปริมาณมาก เพราะค่าใช้จ่ายในการทำเพลทถือเป็นต้นทุนคงที่
การพิมพ์ดิจิตอลเหมาะกับงานที่ต้องการพิมพ์จำนวนน้อย หรือต้องการความรวดเร็ว เนื่องจากไม่ต้องใช้เพลท แต่ใช้ไฟล์ดิจิตอลพิมพ์ลงกระดาษโดยตรง ทำให้สามารถปรับแก้ไขงานได้ง่ายก่อนพิมพ์จริง การพิมพ์ดิจิตอลเหมาะสำหรับนามบัตร โปสเตอร์ ใบปลิว และงานที่ต้องการพิมพ์เฉพาะจุด การพิมพ์แบบนี้มีต้นทุนต่อชิ้นสูงกว่าการพิมพ์ออฟเซ็ท หากพิมพ์ในปริมาณมาก
ซิลค์สกรีน คือ การพิมพ์ที่ใช้บล็อกสกรีนถ่ายโอนหมึกลงบนวัสดุ เหมาะกับงานพิมพ์บนผ้า กระจก พลาสติก หรือพื้นผิวที่ไม่ใช่กระดาษ การพิมพ์แบบนี้มีข้อดีคือสีสดและคงทน เหมาะสำหรับการพิมพ์เสื้อผ้า ป้าย หรือวัสดุโปรโมชัน งานซิลค์สกรีนเหมาะกับการพิมพ์สีเดียวหรือไม่เกินสี่สี เพราะหากพิมพ์หลายสีจะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้นทุนสูงขึ้น
เฟล็กโซกราฟีเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่ใช้หมึกแบบน้ำและเพลทยางในการถ่ายโอนภาพ เหมาะกับการพิมพ์บนวัสดุที่ยืดหยุ่น เช่น ฟิล์ม พลาสติก หรือกระดาษลูกฟูก นิยมใช้กับงานบรรจุภัณฑ์ เช่น ถุงพลาสติก ซองอาหาร และฉลากสินค้า การพิมพ์แบบนี้เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก และให้ความรวดเร็วในการพิมพ์ต่อเนื่อง
พิมพ์สี่สี คือ การใช้สี CMYK ในการพิมพ์ ทำให้ได้ภาพสีสมจริง นิยมใช้กับงานพิมพ์เชิงพาณิชย์ เช่น นิตยสาร แคตตาล็อก และแผ่นพับ
พิมพ์สองสีคือการใช้สีเพียงสองสีในงานพิมพ์ เช่น สีดำและแดง หรือสีฟ้าและเหลือง เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการสีเต็มรูปแบบ เช่น บิล ใบเสร็จ หรือฟอร์มเอกสาร
รวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมไฟล์และการตั้งค่าก่อนพิมพ์ การทำความเข้าใจคำเหล่านี้ช่วยให้คุณสร้างอาร์ตเวิร์คที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ลดปัญหาความคลาดเคลื่อนในขั้นตอนการผลิต
อาร์ตเวิร์ค คือ ไฟล์กราฟิกหรือการออกแบบที่เตรียมไว้สำหรับการพิมพ์ เช่น แผ่นพับ โปสเตอร์ หรือกล่องบรรจุภัณฑ์ ไฟล์อาร์ตเวิร์คต้องมีความละเอียดสูงและจัดวางองค์ประกอบอย่างเหมาะสม โดยปกติจะต้องเผื่อระยะตัดตกและระยะขอบเพื่อป้องกันข้อมูลหายไปหลังการตัด
ระยะตัดตก คือ พื้นที่รอบงานพิมพ์ที่ถูกเผื่อไว้สำหรับการตัดขอบ โดยทั่วไปจะเผื่อประมาณ 3-5 มิลลิเมตร เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อตัดแล้วไม่มีขอบสีขาวหรือขอบที่ไม่ต้องการปรากฏ การตั้งค่าระยะตัดตกเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบกราฟิกทุกประเภท เช่น โปสเตอร์และบรรจุภัณฑ์
ระยะขอบ คือ พื้นที่ว่างรอบอาร์ตเวิร์คที่ไม่ควรมีข้อความหรือองค์ประกอบสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกตัดทิ้งในขั้นตอนการเจียน โดยปกติจะกำหนดระยะห่างประมาณ 5-10 มิลลิเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของงานพิมพ์
CMYK คือ ระบบสีที่ใช้ในการพิมพ์ ประกอบด้วยสีฟ้า (Cyan) , ม่วงแดง (Magenta) , เหลือง (Yellow) และดำ (Key) สีเหล่านี้ผสมกันเพื่อสร้างสีต่างๆ ในงานพิมพ์ ระบบ CMYK เหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการความแม่นยำของสี
RGB คือ ระบบสีที่ใช้ในการแสดงผลบนหน้าจอ ประกอบด้วยสีแดง (Red) , เขียว (Green) , น้ำเงิน (Blue) สีเหล่านี้ผสมกันเพื่อสร้างสีสันในไฟล์ดิจิตอล หากนำไฟล์ RGB ไปพิมพ์โดยไม่แปลงเป็น CMYK อาจทำให้สีผิดเพี้ยนได้
DPI หมายถึง ความละเอียดของภาพพิมพ์ โดยระบุจำนวนจุดหมึกต่อนิ้ว ภาพที่มี DPI สูงจะมีความคมชัด เช่น นิตยสารที่ใช้ 300 DPI สำหรับงานพิมพ์คุณภาพสูง แต่ถ้า DPI ต่ำเกินไป ภาพจะเบลอเมื่อพิมพ์
PPI คือ ความละเอียดของภาพบนหน้าจอ โดยระบุจำนวนพิกเซลต่อนิ้ว ใช้กับงานกราฟิกดิจิตอล เช่น ภาพบนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย ค่าที่นิยมคือ 72 PPI สำหรับการแสดงผลบนหน้าจอ
Resolution หมายถึง จำนวนจุดสีหรือพิกเซลในภาพ ยิ่งมีความละเอียดสูง ภาพจะยิ่งคมชัด เหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการรายละเอียด เช่น โปสเตอร์ขนาดใหญ่หรือป้ายโฆษณา
ปรู๊ฟ คือ การตรวจสอบตัวอย่างงานพิมพ์ก่อนผลิตจริง เพื่อให้มั่นใจว่าภาพ สี และข้อความถูกต้อง การปรู๊ฟอาจเป็นแบบดิจิตอลหรือพิมพ์จริง ขึ้นอยู่กับความละเอียดและงบประมาณ
การเข้าใจคำศัพท์เกี่ยวกับโรงพิมพ์ไม่เพียงช่วยให้คุณสื่อสารกับโรงพิมพ์ได้อย่างถูกต้อง แต่ยังช่วยให้สามารถเลือกวิธีการผลิตที่เหมาะสมกับงานได้อีกด้วย การรู้จักคำศัพท์พื้นฐาน เช่น เพลท ไดคัท และการเคลือบ ยังช่วยให้คุณสามารถวางแผนงานพิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อต้องสื่อสารรายละเอียดกับทีมผลิตหรือโรงพิมพ์
หากคุณต้องการให้ผลงานพิมพ์ออกมามีคุณภาพและตรงตามความคาดหวัง การเรียนรู้และทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้คือก้าวแรกที่สำคัญ การเตรียมตัวให้พร้อมจะช่วยลดข้อผิดพลาดในการทำงาน และทำให้ทุกขั้นตอนการผลิตเป็นไปอย่างราบรื่น
คำศัพท์เกี่ยวกับโรงพิมพ์มีหลายหมวดหมู่ ทั้งคำพื้นฐานและคำเฉพาะทาง ตัวอย่างเช่น เพลท (Plate) ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ที่ใช้ในงานออฟเซ็ท ไดคัท (Die-cut) ที่ใช้ในการตัดวัสดุให้เป็นรูปทรงเฉพาะ และปั๊มนูน (Embossing) ที่ช่วยเพิ่มมิติให้กับงานพิมพ์ การรู้จักคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้สามารถสื่อสารกับโรงพิมพ์ได้อย่างถูกต้อง
มีหลายคำที่มักใช้ในโรงพิมพ์ เช่น “Offset Printing” ที่หมายถึงการพิมพ์ออฟเซ็ท , “Digital Printing” คือการพิมพ์ดิจิตอล , “Embossing” คือการปั๊มนูน และ “Foil Stamping” คือการปั๊มฟอยล์ คำเหล่านี้มักถูกใช้ในการสั่งงานหรือประสานงานกับโรงพิมพ์ที่มีมาตรฐานสากล
ปั๊มนูน (Embossing) คือการทำให้พื้นผิวของงานพิมพ์บางส่วนยกตัวขึ้น ทำให้เกิดมิติและสัมผัสได้ ส่วนปั๊มฟอยล์ (Foil Stamping) คือการใช้ฟอยล์โลหะประทับบนพื้นผิว เพื่อเพิ่มความแวววาวและหรูหรา บางครั้งทั้งสองเทคนิคอาจใช้ร่วมกัน เช่น การปั๊มนูนโลโก้พร้อมกับปั๊มฟอยล์ทอง เพื่อให้ดูโดดเด่นและพรีเมียมยิ่งขึ้น
การพิมพ์ออฟเซ็ทเหมาะสำหรับงานพิมพ์จำนวนมาก เพราะมีต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำเมื่อพิมพ์ในปริมาณมาก ส่วนการพิมพ์ดิจิตอลเหมาะกับงานจำนวนน้อยและต้องการความรวดเร็ว
ไดคัท (Die-cut) คือการตัดวัสดุพิมพ์ให้เป็นรูปทรงเฉพาะ ส่วนเจียน (Trim) คือการตัดขอบงานพิมพ์ให้ตรงตามขนาดที่กำหนด ปกติใช้กับการตัดขอบกระดาษที่เกินมา ทั้งสองวิธีมีจุดประสงค์ต่างกัน
การเคลือบ UV จะทำให้ผิวงานพิมพ์มีความมันวาว ส่วนการเคลือบ PVC มีทั้งแบบเงาและด้าน โดยเคลือบ PVC ด้านจะให้ผิวสัมผัสเรียบหรู ดูไม่สะท้อนแสง