ทำความเข้าใจความสำคัญของประเภท Engagement การตลาด และความเชื่อมโยงกับเป้าหมายทางธุรกิจ เลือกใช้ Engagement ให้เหมาะสมกับกลยุทธ์ เพื่อความสำเร็จสูงสุด
ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจสูง การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่เคย “Engagement การตลาด” หรือการมีส่วนร่วมของลูกค้า จึงกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน การทำความเข้าใจ “ประเภทของ Engagement การตลาด” อย่างถ่องแท้ จะช่วยให้นักการตลาดเลือกใช้กลยุทธ์และเครื่องมือได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) การเพิ่มยอดขาย หรือการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) บทความนี้จะเจาะลึกประเภทต่างๆ ของ Engagement การตลาด ทั้งตามช่องทางและลักษณะ เพื่อเป็นแนวทางให้นักการตลาดนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเชื่อมโยงระหว่างประเภทของ Engagement กับเป้าหมายทางธุรกิจ
การเลือกประเภทของ Engagement ที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายคือการเพิ่ม Brand Awareness การมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มจำนวนการแชร์ (Shares) และการกล่าวถึง (Mentions) บนโซเชียลมีเดียอาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม ในทางกลับกัน หากเป้าหมายคือการเพิ่มยอดขาย การกระตุ้นให้เกิดการคลิก (Clicks) ไปยังเว็บไซต์และการแปลง (Conversions) อาจมีความสำคัญมากกว่า
ภาพรวมประเภทของ Engagement
บทความนี้จะแบ่งประเภทของ Engagement ออกเป็นสองส่วนหลักๆ ได้แก่ :
- ประเภทของ Engagement ตามช่องทาง : แบ่งตามแพลตฟอร์มหรือช่องทางที่เกิด Engagement เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ อีเมล และออฟไลน์
- ประเภทของ Engagement ตามลักษณะ : แบ่งตามลักษณะของการมีส่วนร่วม เช่น Active Engagement , Passive Engagement , Emotional Engagement และ Cognitive Engagement
ประเภทของ Engagement ตามช่องทาง
1. Engagement บนโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางสำคัญในการสร้าง Engagement กับลูกค้า รูปแบบ Engagement ที่พบบ่อย ได้แก่
- Likes/Reactions : การแสดงความรู้สึกต่อโพสต์ บ่งบอกถึงความชอบหรือความสนใจ การวัดผลทำได้โดยนับจำนวน Likes/Reactions กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การใช้ภาพ/วิดีโอที่ดึงดูด การตั้งคำถาม การใช้เนื้อหาที่สร้างอารมณ์ร่วม
- Comments : การแสดงความคิดเห็นหรือการสนทนาใต้โพสต์ บ่งบอกถึงความสนใจและการมีส่วนร่วม การวัดผลทำได้โดยนับจำนวน Comments กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การกระตุ้นให้เกิดการสนทนา การตอบกลับความคิดเห็น การตั้งคำถามปลายเปิด
- Shares/Retweets : การแชร์โพสต์ไปยังหน้าโปรไฟล์ของตนเอง บ่งบอกถึงความสนใจและการบอกต่อ การวัดผลทำได้โดยนับจำนวน Shares/Retweets กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่า การใช้ Hashtags ที่เกี่ยวข้อง
- Saves/Bookmarks : การบันทึกโพสต์ไว้เพื่อดูภายหลัง บ่งบอกถึงความสนใจและความต้องการเก็บข้อมูล การวัดผลทำได้โดยนับจำนวน Saves/Bookmarks กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และเก็บไว้ใช้อ้างอิงได้ เช่น บทความ How-to , Infographic
- Mentions/Tags : การกล่าวถึงหรือแท็กบัญชีผู้ใช้อื่นในโพสต์ บ่งบอกถึงการอ้างอิงหรือการแนะนำ การวัดผลทำได้โดยนับจำนวน Mentions/Tags กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การจัดกิจกรรม การร่วมมือกับ Influencer
- Story Views/Polls/Quizzes : การดูสตอรี่ การทำโพลล์ หรือการตอบคำถาม บ่งบอกถึงความสนใจและการมีส่วนร่วมแบบ Interactive การวัดผลทำได้โดยนับจำนวน Views/Polls/Quizzes กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ของ Story อย่างสร้างสรรค์ การสร้างเนื้อหาที่กระชับและน่าสนใจ
2. Engagement บนเว็บไซต์
Engagement บนเว็บไซต์สะท้อนถึงความสนใจของผู้เข้าชมที่มีต่อเนื้อหาและเว็บไซต์
- Pageviews : จำนวนการเข้าชมหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ การวัดผลทำได้โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ เช่น Google Analytics กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การปรับปรุง SEO การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่า การโปรโมทเว็บไซต์
- Time on Site : ระยะเวลาที่ผู้เข้าชมอยู่ในเว็บไซต์ บ่งบอกถึงความสนใจและการมีส่วนร่วมกับเนื้อหา การวัดผลทำได้โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การปรับปรุง UX/UI การสร้างเนื้อหาที่น่าติดตาม การใช้ภาพและวิดีโอประกอบ
- Bounce Rate : อัตราการตีกลับ คืออัตราส่วนของผู้เข้าชมที่ออกจากเว็บไซต์หลังจากเข้าชมเพียงหน้าเดียว บ่งบอกถึงความไม่พึงพอใจหรือความไม่เกี่ยวข้องของเนื้อหา การวัดผลทำได้โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ กลยุทธ์ในการลด ได้แก่ การปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ การปรับปรุงการออกแบบเว็บไซต์
- Conversions : การกระทำที่ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก การดาวน์โหลด บ่งบอกถึงความสนใจและการมีส่วนร่วมที่นำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจ การวัดผลทำได้โดยตั้งเป้าหมายในเครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การปรับปรุง Call to Action การสร้าง Landing Page ที่มีประสิทธิภาพ การนำเสนอโปรโมชั่น
- Scroll Depth : ระยะทางที่ผู้เข้าชมเลื่อนลงในหน้าเว็บไซต์ บ่งบอกถึงความสนใจในการอ่านเนื้อหา การวัดผลทำได้โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การจัดวางเนื้อหาให้อ่านง่าย การใช้ภาพและวิดีโอประกอบ การใช้ Heading และ Subheading
3. Engagement ผ่านอีเมล
Engagement ผ่านอีเมลสะท้อนถึงความสนใจของผู้รับที่มีต่อเนื้อหาในอีเมล
- Open Rate : อัตราการเปิดอีเมล บ่งบอกถึงความน่าสนใจของ Subject Line การวัดผลทำได้โดยใช้เครื่องมือ Email Marketing กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การเขียน Subject Line ที่น่าสนใจ การส่งอีเมลในเวลาที่เหมาะสม การแบ่งกลุ่มผู้รับ (Segmentation)
- Click-Through Rate (CTR) : อัตราการคลิกลิงก์ในอีเมล บ่งบอกถึงความสนใจในเนื้อหาและการกระตุ้นให้เกิดการกระทำ การวัดผลทำได้โดยใช้เครื่องมือ Email Marketing กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การออกแบบอีเมลให้น่าสนใจ การใช้ Call to Action ที่ชัดเจน การใช้ภาพและวิดีโอ
- Conversion Rate : อัตราการแปลงหลังจากคลิกลิงก์ในอีเมล เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก การวัดผลทำได้โดยเชื่อมต่อกับระบบ CRM หรือเครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การนำเสนอข้อเสนอที่น่าสนใจ การสร้าง Landing Page ที่เกี่ยวข้อง การทำ A/B Testing
4. Engagement ออฟไลน์
Engagement ออฟไลน์ยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือจัดกิจกรรม
- Event Attendance : จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม บ่งบอกถึงความสนใจในกิจกรรมและการมีส่วนร่วม การวัดผลทำได้โดยการลงทะเบียนหรือการนับจำนวนผู้เข้าร่วม กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ การโปรโมทกิจกรรมอย่างทั่วถึง การสร้างประสบการณ์ที่ดีในงาน
- Customer Feedback/Surveys : ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้า บ่งบอกถึงความพึงพอใจและความต้องการ การวัดผลทำได้โดยการสำรวจ แบบสอบถาม หรือการพูดคุยโดยตรง กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การสร้างแบบสำรวจที่กระชับ การให้รางวัลแก่ผู้ตอบแบบสำรวจ การรับฟังและนำความคิดเห็นไปปรับปรุง
- In-Store Interactions : การปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าในร้านค้า เช่น การสอบถามข้อมูล การทดลองสินค้า บ่งบอกถึงความสนใจและการมีส่วนร่วมกับสินค้า การวัดผลทำได้โดยการสังเกต การบันทึกข้อมูล หรือการใช้เทคโนโลยี เช่น Beacon กลยุทธ์ในการเพิ่ม ได้แก่ การให้บริการที่ดี การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การจัดวางสินค้าที่น่าสนใจ
หากต้องการเรียนรู้วิธี วางกลยุทธ์ Engagement อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ประเภทของ Engagement ตามลักษณะ
- Active Engagement : การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน เช่น การคอมเมนต์ การแชร์ การเข้าร่วมกิจกรรม การสร้างเนื้อหา (User-Generated Content) การเข้าร่วมการแข่งขัน การรีวิวสินค้า การให้คะแนน การเข้าร่วมกลุ่มหรือชุมชนออนไลน์ การแชร์ประสบการณ์ การสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ เช่น วิดีโอ รูปภาพ บทความ หรือ Live สด
- Passive Engagement : การมีส่วนร่วมแบบไม่แสดงออก เช่น การดูวิดีโอ การอ่านบทความ การฟังพอดแคสต์ การเลื่อนดูฟีด การเข้าชมเว็บไซต์ การเปิดอีเมล การดาวน์โหลดไฟล์ การดูรูปภาพ การรับชม Live โดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ
- Emotional Engagement : การมีส่วนร่วมทางอารมณ์ เช่น การแสดงความรู้สึกต่างๆ ผ่าน Reactions (เช่น Like, Love, Haha, Wow, Sad, Angry) การแสดงความคิดเห็นที่แสดงถึงความรู้สึก (เช่น “ชอบมาก!”, “ประทับใจ!”, “เสียใจ!”) การแชร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ การเข้าร่วมกิจกรรมที่กระตุ้นอารมณ์ การใช้ Emoji และ Sticker
- Cognitive Engagement : การมีส่วนร่วมทางความคิด เช่น การใช้เวลาอ่านบทความ การค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม การคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเนื้อหา การตั้งคำถาม การถกเถียง การแสดงความคิดเห็นที่แสดงถึงการวิเคราะห์ การเปรียบเทียบ การประเมิน การวางแผน การแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือแบรนด์
ความสำคัญของ Engagement แต่ละประเภทต่อธุรกิจ
Engagement แต่ละประเภทส่งผลต่อเป้าหมายทางธุรกิจที่แตกต่างกัน
- Active Engagement : ช่วยเพิ่ม Brand Awareness อย่างรวดเร็ว สร้าง Community ที่แข็งแกร่ง กระตุ้นการบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing) สร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) และเพิ่มโอกาสในการขาย (Conversion) เนื่องจากผู้ที่มี Active Engagement มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้ามากกว่า
- Passive Engagement : ช่วยเพิ่มการรับรู้เนื้อหา (Content Visibility) และ Brand Awareness ในวงกว้าง สร้างความคุ้นเคยกับแบรนด์ (Brand Familiarity) และเป็นพื้นฐานสำคัญในการนำไปสู่ Active Engagement ในอนาคต นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่ม traffic ให้กับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มต่างๆ
- Emotional Engagement : สร้างความผูกพันทางอารมณ์กับแบรนด์ สร้างความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ (Brand Sentiment) และเพิ่มความภักดี ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์
- Cognitive Engagement : แสดงถึงความสนใจอย่างลึกซึ้งในเนื้อหาหรือแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญ (Expertise) ให้กับแบรนด์ และส่งเสริมให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่ผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
ตัวอย่างการนำ Engagement แต่ละประเภทไปใช้
- Active Engagement : การจัดกิจกรรมประกวดภาพถ่ายโดยใช้สินค้าของแบรนด์ ให้ผู้เข้าร่วมโพสต์ภาพพร้อมติดแฮชแท็กของแบรนด์
- Passive Engagement : การเผยแพร่บทความบล็อกที่มีเนื้อหาให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์
- Emotional Engagement : การสร้างวิดีโอโฆษณาที่เน้นการเล่าเรื่องที่สร้างความประทับใจและเรียกน้ำตา
- Cognitive Engagement : การจัด Webinar หรือสัมมนาออนไลน์เกี่ยวกับหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของแบรนด์
ความสัมพันธ์ระหว่าง Engagement แต่ละประเภท
Engagement แต่ละประเภทมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดย Passive Engagement มักเป็นจุดเริ่มต้นของการมีส่วนร่วม เมื่อผู้คนได้รับรู้เนื้อหา (ผ่าน Passive Engagement) อาจเริ่มแสดงความรู้สึก (Emotional Engagement) จากนั้นจึงอาจตัดสินใจแสดงออกอย่างชัดเจน (Active Engagement) หรือคิดวิเคราะห์เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง (Cognitive Engagement)
สรุป
การทำความเข้าใจประเภทของ Engagement และความสำคัญของแต่ละประเภท จะช่วยให้นักการตลาดสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน การวัดผล Engagement ในทุกๆ ด้าน และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการทำการตลาดในยุคดิจิทัล